ทัวร์แสวงบุญอินเดีย ร่วมเดินทางสู่สังเวชนียสถาน พร้อมทอดกฐินสามัคคี ณ วัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์ ประเทศอินเดีย เพื่อสมทบทุนในการก่อสร้าง โรงพยาบาลกุสินารา ซึ่งเป็นศูนย์สุขภาพสำหรับพระภิกษุสงฆ์และผู้แสวงบุญในอนาคต
17.30 น.
คณะผู้เดินทางพร้อมกันที่ สนามบินดอนเมือง อาคารผู้โดยสารขาออก สายการบินแอร์ เอเชีย (FD) โดยมีเจ้าหน้าที่บริษัทฯ คอยให้การต้อนรับ และอำนวยความสะดวกด้านสัมภาระ และเอกสารการเดินทางให้กับท่าน
20.15 น.
ออกเดินทางสู่ เมืองลัคเนา โดยเที่ยวบินที่ FD 146
22.35 น.
คณะเดินทางมาถึง สนามบินนานาชาติโชธารี จรัณสิงห์ – ลัคเนา (เวลาช้ากว่าไทย 1.30 ชั่วโมง) หลังจากผ่านการตรวจคนเข้าเมืองแล้ว นำท่านเดินทางโดยรถบัสปรับอากาศสู่ เมืองลัคเนา (Lucknow) เมืองเอกของรัฐอุตตรประเทศหรือรัฐยูพี (Uttar Pradesh: UP) รัฐที่ใหญ่ที่สุด ตั้งอยู่ทางตอนเหนือประเทศอินเดีย ติดกับประเทศเนปาลลัคเนาถือเป็นศูนย์กลางการคมนาคม และเป็นประตูสำคัญสู่สังเวชนียสถานหลายแห่ง จากนั้นนำท่านเข้าสู่โรงแรมที่พัก
พัก PICCADILY HOTEL หรือเทียบเท่า
เช้า
รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
จากนั้นนำท่านเข้าสู่ สวนอนุสรณ์สถาน ดร.อัมเบดการ์ (Ambedkar Memorial Park) หนึ่งในบุคคลสำคัญที่พลิกโฉมการปกครองของอินเดียยุคใหม่ ด้วยชาติกำเนิดที่อยู่ในวรรณะจัณฑาล ใช้ความฉลาดความอดทนต่อสู้เพื่อความเท่าเทียม จนได้เป็นประธานรัฐสภาคนแรกของอินเดีย มีส่วนในการร่างรัฐธรรมนูญฉบับแรก ซึ่งก็คือกฎหมายที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน อนุสรณ์แห่งนี้สร้างมานานกว่า 28 ปี จากนั้นนำท่านถ่ายรูป หอนาฬิกา หอนาฬิกาเก่าแก่อายุกว่า 142 ปี กับความสูง 67 เมตร ที่ขึ้นชื่อว่าสูงที่สุดในอินเดีย สร้างด้วยสถาปัตยกรรมแบบ Gothic และ Victorian มีหน้าปัดนาฬิกาล้อมทั้ง 4 ด้าน รูปทรงคล้ายกลีบดอกไม้ 12 กลีบ พร้อมลูกตุ้มที่ยาวถึง 15 ฟุต เชื่อว่าถอดแบบมาจากหอนาฬิกา Big Ben ที่อังกฤษ
เที่ยง
รับประทานอาหารกลางวัน ณ ห้องอาหารของโรงแรม
บ่าย
จากนั้นนำท่านถ่ายรูป ประตูเตอร์กิช หรือ รูมิ ดะร์วาซา ความโดดเด่นของประตูแห่งนี้คือความงามของศิลปะผสมผสาน ประตูแบ่งออกเป็น 3 ช่องทางเข้า มุมมองแต่ละด้านของประตูมีความแตกต่างกัน หากมองจากฝั่งหนึ่งจะเห็นซุ้มประตูเป็นสี่เหลี่ยมพร้อมทั้งมีซุ้มโค้งระเบียงเรียงราย แต่เมื่อเดินลอดประตูมามองอีกฝั่งหนึ่งก็จะได้เห็นประตูเป็ นซุ้มโค้งปลายยอดชี้ขึ้นสู่ท้องฟ้า พร้อมด้วยลวดลายปูนปั้นตระการตา น่าชื่นชมคนออกแบบยิ่งนักจากนั้นนำท่านออกเดินทางสู่ เมืองสาวัตถี ซึ่งในสมัยพุทธกาลนั้น เมืองสาวัตถีเป็นเมืองหลวงแห่งแคว้นโกศล และมีความสำคัญกับศาสนาพุทธอยู่มากมายเช่นกัน เนื่องจากเป็นสถานที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจำพรรษาอยู่ถึง 24 พรรษา และเป็นเมืองที่พระองค์ทรงแสดงพระธรรมเทศนาและแสดงธรรมแก่ภิกษุและพุทธบริษัทให้บรรลุอมตธรรมเป็นจำนวนมาก มีพระอรหันตสาวกอยู่จำพรรษานับพันนับหมื่น องค์ มีอุบาสกอุบาสิกาก็เป็นเลิศกว่าใครในแผ่นดิน ส่วนพระราชาก็ศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาอย่างดียิ่ง
ค่ำ
รับประทานอาหารค่ำ ณ ห้องอาหารของโรงแรม หลังอาหารอิสระพักผ่อนตามอัธยาศัย
พัก PATTINUM HOTEL หรือเทียบเท่า
เช้า
รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของ
จากนั้นนำท่านเดินทางไปสักการะ วัดเชตวันมหาวิหาร หรือ สาเหต (Sahet) พระอารามหลวงขององค์พระศาสดา จำพรรษาถึง 19 พรรษา โดยท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีผู้บริจาคทรัพย์สมบัติในการสร้างมหาวิหารแห่งนี้ ซึ่งมีเนื้อที่ทั้งสิ้น 80 ไร่ พร้อมเยี่ยมชม สถานที่พระเทวทัตถูกแผ่นดินสูบ ซึ่งอยู่บริเวณด้านหน้าวัดเชตวันมหาวิหาร และ อานันทโพธิ์ ต้นโพธิ์ที่ปลูกโดยพระอานนท์ในสมัยพุทธกาล ต้นโพธิ์ต้นนี้ปรากฏหลักฐานจารึกของ หลวงจีนฟาเหียนและพระถังซัมจั๋ง โดยต้นโพธิ์ดังกล่าวยังคงยืนต้นมา จนปัจจุบัน นำท่านเยี่ยมชม พระมูลคันธกุฎี กุฏิของพระพุทธเจ้า ที่ได้รับการขุดค้นและปรับแต่งภูมิทัศน์เป็นอย่างดี จาดนั้นนำท่านเที่ยวชม สถานที่แสดงยมกปาฏิหาริย์สถูป เป็นสถานที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงปาฏิหาริย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ที่แม้แต่อัครสาวกไม่สามารถแสดงได้ โดยปาฏิหาริย์ที่เกิดเป็นลักษณะคู่ คือมี 2 เหตุการณ์ อันประกอบไปด้วย การปราบทิฏฐิพวกเดียรถีย์ภายใต้ต้นมะม่วงคัณฑามพฤกษ์ และการเสด็จขึ้นไปสวรรค์ชั้นที่ 2 หรือดาวดึงส์ เพื่อโปรดพร ะนาง มายาเทวี พระพุทธมารดาของพระองค์ ได้เวลาสมควรนำท่านชม บ้านของอนาถบิณฑิกเศรษฐี เดิมทีชื่อนายสุทัตตะ แต่ชาวบ้านนิยมเรียกว่า อนาถบิณฑิกเศรษฐี หลังจากนั้นนำท่านชม บ้านองคุลีมาล หรือบ้านของปุโรหิต บิดาของพระสาวกที่มีชื่อเสียงในเมืองสาวัตถี ปัจจุบันบ้านบิดาขององคุลีมาลนั้น มีลักษณะเนินสูง เป็นอาคารอิฐก่อมีโพรงเป็นช่องทางทะลุไปข้างบนได้ ด้านบนมีห้องกว้างปิดทึบสี่ด้าน ด้านซ้ายมือของด้านบนถูกเปิดโล่งถึงยอดอาคา
เที่ยง
รับประทานอาหารกลางวัน ณ ห้องอาหารของโรงแรม
บ่าย
จากนั้นนำท่านออกเดินทางสู่ เมืองกุสินารา เดิมในสมัยพุทธกาล เมืองกุสินารานั้นเป็นส่วนหนึ่งของแคว้นมัลละ ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งของสาลวโนทยานหรือป่าไม้สาละที่มีความสำคัญเป็นสถานที่ที่พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานและเป็นสถานที่ถวายพระเพลิงของพระพุทธองค์
ค่ำ
รับประทานอาหารค่ำ ณ ห้องอาหารของโรงแรม หลังอาหารอิสระพักผ่อนตามอัธยาศัย
พัก THE ROYAL RESIDENCY HOTEL หรือเทียบเท่า
เช้า
รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
นำคณะเข้าร่วม พิธีกฐิน ณ วัดไทยกุสินารา กิจกรรมที่มีการปฏิบัติสืบเนื่องกัน เอกลักษณ์และมีความสำคัญต่อศาสนาพุทธ อันเป็นบ่อเกิดของวัฒนธรรมของสังคมเชื้อชาติต่าง ๆ กลายเป็นประเพณีประจำชาติและถ่ายทอดกันมาในดินแดนพุทธภูมิ
เที่ยง
รับประทานอาหารกลางวัน ณ ห้องอาหารของโรงแรม
บ่าย
นำท่านเดินทางสู่ ปรินิพพานสถูป เป็นสถูปที่อยู่ด้านหลังวิหารปรินิพพาน ซึ่งพระเจ้าอโศกมหาราชพระราชทานพระราช-ทรัพย์100,000 รูปี ให้สร้างขึ้นคร่อมกับพระแท่นปรินิพพาน มีลักษณะเป็นทรงบาตรคว่ำสูง 65 เมตร มียอดฉัตร 3 ชั้น พร้อมปรากฏเสาอโศกในบริเวณใกล้เคียง จากนั้นนำท่านชม โทณะพราหมณ์สถูป สถานที่แบ่งพระบรมสารีริกธาตุของโทณพราหมณ์ ภายหลังการถวาย พระเพลิงสรีระ ปัจจุบันมีลักษณะเป็นเนินดิน และมีต้นโพธิ์ขนาดใหญ่ปรากฎในบริเวณเดียวกัน ตั้งอยู่หลังวัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์ จากนั้นนำท่านสู่ มกุฏพันธนเจดีย์ เป็นสถูปโบราณที่ถูกสร้างขึ้นตรงเพื่อสถานที่ถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระของพระพุทธเจ้าได้ถูกสร้างขึ้นในรัชสมัย พระเจ้าอโศกมหาราช บริเวณด้านตะวันออกของเมืองกุสินารา หรือปัจจุบันคือรัฐอุตตรประเทศ
ค่ำ
รับประทานอาหารค่ำ ณ ห้องอาหารของโรงแรม หลังอาหารอิสระพักผ่อนตามอัธยาศัย
พัก THE ROYAL RESIDENCY HOTEL หรือเทียบเท่า
เช้า
รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
จากนั้นนำท่านออกเดินทางสู่ เมืองไวสาลี ในอดีตคือแคว้นวัชชีที่ปกครองโดยกษัตริย์ลิจฉวี เป็นหนึ่งใน 16 แคว้นของชมพูทวีป ซึ่งในสมัยพุทธกาลพระพุทธองค์เคยมาโปรดให้ชาวเมืองได้รอดพ้นจากโรคอหิวาตกโรค ที่แม้แต่พระมหาวีระ ศาสดาแห่งศาสนาเชนไม่สามารถบำบัดโรคร้ายนี้ได้ จึงถือได้ว่าเป็นศูนย์กลางการเผยแผ่พระพุทธศาสนาที่สำคัญอีกแห่งหนึ่ง และมีสถานที่สำคัญทางพระพุทธศาสนาปรากฏอยู่มากมาหลายที ระหว่างทางนำท่านเดินทางสักการะ เกสรียาสถูป บริเวณที่พระพุทธองค์ทรงหันกลับมาทอดพระเนตรดูเมืองไวสาลีเป็นครั้งสุดท้าย และพระราชทานบาตรให้กับพวกลิจฉวีก่อนเดินทางไปยังกุสินารา เพื่อเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานสถูปแห่งนี้ถูกขุดพบเมื่อปีพุทธศักราช 2541 โดยเชื่อว่ากันว่าเป็นสถูปที่สร้างโดยพระเจ้าอโศกมหาราช ซึ่งมีขนาดใหญ่และสูงที่สุดในโลก ด้วยขนาดความสูงประมาณ 41 เมตร ก่อนที่จะเกิดแผ่นดินไหวเมื่อปีพุทธศักราช 2474 จึงเหลือความสูงประมาณ 35 เมตร
เที่ยง
รับประทานอาหารกลางวัน ณ ห้องอาหารของโรงแรม
บ่าย
จากนั้นนำท่านชม กุฎาคารศาลา วัดป่ามหาวัน ที่มีลักษณะเป็นสถูปทรงบาตรคว่ำ ซึ่งกษัตริย์ลิจฉวีทรงสร้างถวายสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งพระพุทธองค์ทรงประทับจำพรรษา ณ สถานที่แห่งนี้ ในพรรษาที่ 5 พร้อมนำท่านชม เสาอโศกรูปสิงห์ ที่อยู่ในลักษณะนั่งหันหน้าไปทางทิศตะวันออก ถือ ได้ว่ามีความสมบูรณ์มากที่สุดในปัจจุบันโดยสถานที่แห่งนี้หลงเหลือเพียงซากโบราณสถานที่ประกอบไปด้วยสังฆาราม ห้องพัก ห้องประชุมที่สำคัญวัดแห่งนี้ เป็นสถานที่ที่พระพุทธองค์ประธานพุทธานุญาตบวชพระนางปชาบดีโคตสีเป็นพระภิกษุณีรูปแรกของโลก
จากนั้นนำชม ปาวาลเจดีย์ หรือสารีริกธาตุสถูป ซึ่งเป็นสถานที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุที่ได้รับแบ่ง 1 ใน 8 ส่วน เมื่อครั้งที่โทณพราหมณ์ได้ทำพิธีแบ่งให้กับ 8 นคร ภายหลังการถวายพระเพลิงพุทธสรีระ โดยเมื่อปีพุทธศักราช 2501 ได้มีการขุดพบผอบบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ จึงเป็นสถานที่สามารถระบุได้ว่าเป็นสถานที่ตั้งของแคว้นวัชชี และในสมัยพุทธกาลนั้น ยังเป็นสถานที่พระยามารได้เข้ามากราบทูลขอให้พระองค์ปลงอายุสังขารเสด็จปรินิพพาน ณ สถานที่แห่งนี้ จากนั้นออกเดินทางสู่เมืองปัฎนะ เป็นเมืองหลวงของรัฐพิหาร รัฐหนึ่งในประเทศอินเดีย
ค่ำ
รับประทานอาหารค่ำ ณ ห้องอาหารของโรงแรมที่พัก หลังอาหารอิสระพักผ่อนตามอัธยาศัย
พัก PANACHE HOTEL หรือเทียบเท่าระดับ
เช้า
รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
จากนั้นนำท่านออกเดินทางสู่ เมืองนาลันทา จากนั้นนําท่านชม มหาวิทยาลัยนาลันทา มหาวิทยาลัยพุทธศาสนาที่เคยรุ่งเรืองโด่งดังมากที่สุดในโลก มีพระนักศึกษาจํานวน หมื่น เมื่อราว พ.ศ.1700 ได้ถูก ชาวมุสลิม รุกรานสังหารพระ และเผาทําลายเสียสิ้นปัจจุบันเหลือไว้แต่ซากปรักหักพัง ปรากฏเป็นรูป ฐานและผนังของอาคารยาวเหยียดในบริเวณอันกว้างขวาง และสถานที่แห่งนี้ยังเป็นบ้านเกิดของ พระโมคคัลลานา พระสารีบุตร ที่นี่ยังมีพระสถูปเจดีย์ที่บรรจุอัฐิธาตุของพระสารีบุตรปรากฏอยู่ หลังจากนั้นนําท่านกราบนมัสการ หลวงพ่อดําศักดิ์สิทธิ์ เป็นพระเกตุทรงบัวตูม ปางนั่งขัดสมาธิ พระหัตถ์ชี้แม่พระธรณีเป็นพยาน สร้างในสมัยพระเจ้าเทวปาล เมื่อประมาณ พ.ศ. 1353-1393 ประดิษฐานอยู่ทางด้านทิศเหนือของซากปรักหักพังของมหาวิทยาลัยนาลันทา ถือได้ว่าเป็นพระพุทธรูปเพียงองค์เดียวที่รอดพ้นจากการทำลายของกองทัพมุสลิม เป็นที่เคารพสักการะของชาวพุทธเป็นอย่างมาก ได้เวลาสมควรออกเดินทางสู่ เมืองราชคฤห์
เที่ยง
รับประทานอาหารกลางวัน ณ ห้องอาหารของโรงแรม
บ่าย
จากนั้นนำท่านชม วัดเวฬุวันมหาวิหาร หรือป่าไผ่ สถานที่กำเนิดวันสำคัญทางศาสนา “วันมาฆบูชา” ซึ่งเป็นสถานที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ต่อหน้าพระสงฆ์ที่พระองค์ทรงบวชให้ทั้งหมด และวัดเวฬุวันมหาวิหารยังเป็นวัดแห่งแรกของพระพุทธศาสนา เป็นสถานที่ที่พระเจ้าพิมพิสารถวายให้กับองค์พระศาสดา จากนั้นนำชม ตโปทาราม หรือบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ สถานที่อาบน้ำแร่ร้อนธรรมชาติเพื่อเป็นการชำระล้างบาปซึ่งมีการแบ่งเป็นห้องอาบน้ำตามความเชื่อของชาวฮินดู โดยแต่ละวรรณะจะแยกชั้นลดหลั่นกันลงมาตามวรรณะทั้งสี่ ในแต่ละวันจะมีชาวฮินดูเดินทางมาอาบน้ำเพื่อทำการชำระล้างบาปกันเป็นจำนวนมาก
ค่ำ
รับประทานอาหารค่ำ ณ ห้องอาหารของโรงแรมที่พัก หลังอาหารอิสระพักผ่อนตามอัธยาศัย
พัก INDO HOKKE HOTEL หรือเทียบเท่าระดับ
เช้า
รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
จากนั้นนำท่านเดินทางสู่สถานที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของเมืองราชคฤห์ ซึ่งตั้งอยู่บน ยอดเขาคิชกูฏ สถานที่ประทับพรรษาแรกของพระพุทธเจ้า ซึ่งปรากฏหลักฐานหลายจุดที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธประวัติ อันประกอบไปด้วย ถ้ำพระโมคคัลลานะ ที่พำนักและบำเพ็ญเพียรของอัครสาวกเบื้องซ้าย ,จุดที่พระเทวทัตกลิ้งหินหวังปลงพระชนพระพุทธเจ้า ,ถ้ำสุกรขาตา (ถ้ำพระสารีบุตร) ที่พำนักและบำเพ็ญ เพียรของอัครสาวกเบื้องขวา ผู้เป็นเอตทัคคะ ที่มีปัญญาเป็นเลิศ ,และจุดที่ถือได้ว่าสำคัญที่สุดคือ พระคันธกุฎี กุฏิที่พำนักของพระพุทธเจ้าเมื่อครั้งจำพรรษาอยู่ในกรุงราชคฤห์ นำท่านสักการะพร้อมสวดมนต์ถวายแด่องค์สัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อความเป็นสิริมงคลแด่ท่านและครอบครัว ได้เวลาอันสมควรคณะลงจากยอดเขา ได้เวลาอันสมควรนำท่านชม ชีวกอัมพวันวิหาร หรือสวนมะม่วงของหมอชีวกโกมารภัจจ์ ซึ่งถวายเป็นสังฆาวาส และเป็นโรงพยาบาลสงฆ์แห่งแรกของโลกที่ดูแลพระภิกษุสงฆ์อาพาธ รวมไปถึงพระพุทธองค์ด้วยเช่นเดียวกัน เมื่อครั้งเหตุการณ์พระเทวทัตผลักก้อนหินหลัง
เที่ยง
รับประทานอาหารกลางวัน ณ ห้องอาหารของโรงแรม
บ่าย
ได้เวลาสมควรนำท่านเดินทางสู่ เมืองพุทธคยา ซึ่งทอดยาวไปตามชายฝั่งของแม่น้ำเนรัญชรา เมืองแห่งนี้เป็นเมืองสำคัญทางพระพุทธศาสนา นำคณะเข้าสู่สถานที่สำคัญหนึ่งในสี่ของการเดินทางมาเยือนดินแดนแห่งพุทธภูมิแห่งนี้ คือ พระศรีมหาโพธิ์ สถานที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ภายในท่านจะได้ชม พระแท่นวัชรอาสน์ เป็นพระแท่นจำลองขึ้นทับตรงบริเวณพระแท่นเดิมเพื่อเป็นหลักฐานยืนยันว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ ณ จุดนี้ ปัจจุบันสร้างด้วยวัสดุหินทรายเป็นรูปหัวเพชรสี่เหลี่ยม กว้าง 4.10 นิ้ว 7.6 นิ้ว หนา 5 นิ้วครึ่ง ประดิษฐานอยู่ภายใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ โดยสร้างกำแพงแก้วทำด้วยทองคำแท้ ประดิษฐานรอบต้น จากนั้นนำท่านสักการะ พระมหาเจดีย์พุทธคยา อนุสรณ์สถานแห่งการตรัสรู้ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีลักษณะเป็นเจดีย์ 4 เหลี่ยม สูง 170 ฟุต วัดโดยรอบฐานได้ 121.29 เมตร ภายในประดิษฐาน พระพุทธเมตตา พระพุทธรูปปางมารวิชัยแบบศิลปะปาละ และนำท่านสักการะสัตตมหาสถาน ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับเสวยวิมุตติสุขหลังตรัสรู้ 7 แห่งๆละ 7 วัน คือ โพธิบัลลังก์ อนิมิสเจดีย์ รัตนจงกรมเจดีย์ รัตนฆรเจดีย์ อชปาลนิโครธ (ต้นไทร) ต้นมุจลินท์ (ต้นจิก) และต้นราชายตนะ (ต้นเกด)
ค่ำ
รับประทานอาหารค่ำ ณ ห้องอาหารของโรงแรมที่พัก หลังอาหารอิสระพักผ่อนตามอัธยาศัย
พัก DRAMMA GRAND HOTEL หรือเทียบเท่าระดับ
เช้า
รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม ได้เวลาสมควรนำคณะเดินทางสู่สนามบิน
11.30 น.
คณะอำลาประเทศอินเดีย ออกเดินทางกลับกรุงเทพมหานคร ด้วยเที่ยวบิน FD123
15.55 น.
เดินทางถึง สนามบินดอนเมือง ด้วยความสวัสดี…พร้อมความประทับใจมิรู้ลืม